มาฆบูชา
วันแห่งความรักของชาวพุทธ
กวีบางคนเคยกล่าวไว้ว่าความรักทำให้โลกหมุน
ทำให้คนชั่วกลับกลายเป็นคนดี ความรักบันดาลสิ่งต่างๆ ได้มากมาย ที่สำคัญความรักมิได้มีความหมายเพียงความรักระหว่างหนุ่มสาวเท่านั้น
แต่ยังครอบคลุมไปถึงความรักระหว่างพ่อแม่ลูก ญาติพี่น้อง อาจารย์กับศิษย์ เพื่อนต่อเพื่อน
รวมไปถึงความรักที่มนุษย์มีต่อมวลมนุษย์ และสรรพสิ่งร่วมโลกทั้งหลาย เพราะ
ความรักมีความหมายกว้างขวาง
ไร้ขอบเขต ทั้งยังเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกชาติทุกภาษาอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขนี่เอง
หลายคนจึงถือว่า 'วันมาฆบูชา' อันเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกวันหนึ่ง
เป็น 'วันแห่งความรัก' ทั้งนี้ เนื่องจากวันดังกล่าวได้เกิดเหตุการณ์พิเศษที่เรียกว่า
'จาตุรงคสันนิบาต'
เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประกาศหลักการและอุดมการณ์แห่งพุทธศาสนา อันมีเนื้อหาหลักว่าด้วยการส่งเสริมให้มวลมนุษย์ตั้งมั่นในการทำความดี
ละความชั่ว ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน นั่นก็คือ
ทรงสอนให้ทุกคนมีความรักอันยิ่งใหญ่ เป็นรักที่ไม่เห็นแก่ตัว
สอนให้รู้จักเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้นำพระธรรมคำสั่งสอนดังกล่าวไปเผยแพร่
คำว่า มาฆบูชา
หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือนมาฆะ คือเดือน 3 หรือพูดง่ายๆ
ว่าเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงในคืนขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3
นั่นเอง
เหตุที่พุทธศาสนิกชนถือว่าวันมาฆบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา
ก็เพราะในวันนี้ในสมัยพุทธกาลเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ 9 เดือน
(นับแต่วันวิสาขบูชาขึ้น 15 ค่ำเดือน 6) ขณะเสด็จประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน
(อันเป็นวัดแห่งแรกในพุทธศาสนา) ณ เมืองราชคฤห์
แคว้นมคธนั้น พระสงฆ์สาวกที่พระพุทธองค์ได้ส่งออกไปเผยแผ่พุทธศาสนาตามเมืองต่างๆ พร้อมใจกันกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้าโดยมิได้นัดหมายกันถึง
1,250 รูป ซึ่งถือว่าเป็นเหตุอัศจรรย์ยิ่ง
เพราะสมัยโบราณที่ไม่มีการสื่อสารโทรคมนาคม การนัดหมายคนจำนวนมากที่อยู่คนละทิศละทางให้มาพบกันหรือประชุมกันที่ใดที่หนึ่ง
เป็นเรื่องที่ยากและแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
การมาของพระพุทธสาวกเหล่านี้ ถือว่าเป็นการมาประชุมพิเศษที่ประกอบด้วยองค์
4 อันเป็นที่มาของการเรียกวันนี้อีกอย่างว่าวันจาตุรงคสันนิบาต
นั่นคือ เป็นวันมาฆปูรมี ได้แก่ หนึ่งวันเพ็ญขึ้น 15
ค่ำกลางเดือนมาฆะ (เดือน 3) จึงเรียกว่าวันมาฆบูชา
สองพระภิกษุที่มาประชุมในวันนั้นมีจำนวนถึง 1,250 รูป
และสามพระภิกษุที่มาประชุมนี้ล้วนเป็นพระอรหันต์ที่สำเร็จอภิญญา
6 กล่าวคือเป็นผู้มีความรู้อันยอดยิ่ง 6 ประการ ได้แก่
แสดงฤทธิ์ได้ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติได้ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้ และมีญาณหยั่งรู้ในธรรมอันเป็นที่สิ้นแห่งกิเลสทั้งหลาย
สี่พระภิกษุเหล่านี้ล้วนเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา หมายถึง ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง
การประชุมที่ประกอบด้วยความพิเศษ 4 ประการข้างต้นนี้
เกิดขึ้นในวันมาฆบูชานี้เป็นครั้งแรกและเป็นเพียงครั้งเดียวในสมัยพุทธกาลเมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะแสดงโอวาทปาติโมกข์
อันเป็นการประกาศหลักการ อุดมการณ์
และวิธีการปฏิบัติในการเผยแผ่พุทธศาสนาให้นำไปใช้ได้ในทุกสังคม หลักธรรมคำสอนดังกล่าวจะเรียกว่าเป็นธรรมนูญแห่งพุทธศาสนา
หรือหัวใจของพุทธศาสนาก็ได้
ในหนังสือวันสำคัญของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
ได้กล่าวถึงหลักธรรมที่ว่านี้ว่าแบ่งเป็น 3 ส่วน คือเป็นหลักการ 3 อุดมการณ์ 4 และวิธีการ 6 ซึ่งสรุปได้ดังนี้
หลักการ 3 หมายถึง
สาระสำคัญที่ควรยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ ได้แก่ หนึ่งการไม่ทำบาปทั้งปวง ด้วยการไม่ประพฤติชั่วทั้งกาย
วาจาและใจ เช่น ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ลักขโมย ไม่ผูกพยาบาท
สองการทำกุศลให้ถึงพร้อม ด้วยการทำความดีทุกอย่างทั้งกาย
วาจาและใจ เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่โลภมาก และมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
สามการทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว
ด้วยการละบาปทั้งมวล
ทำใจให้ปราศจากกิเลส ความโลภ โกรธ หลง ถือศีลและบำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อมด้วยการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา
อุดมการณ์ 4 หมายถึง หลักการที่ทรงวางไว้เป็นแนวปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้
ได้แก่
หนึ่งความอดทน ให้มีความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งกาย
วาจาและใจ
สองความไม่เบียดเบียน
ให้งดเว้นจากการทำร้าย
รบกวนหรือเบียดเบียนผู้อื่น
สามความสงบ คือการปฏิบัติตนให้สงบทั้งกาย
วาจาและใจ
สี่นิพพาน คือการดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในทางพุทธศาสนา
ที่จะเกิดขึ้นได้จากการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ 8 ได้แก่ ความเห็นชอบ
ความดำริชอบ การพูดจาชอบ การทำงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ
ความระลึกชอบ และความตั้งใจมั่นชอบ
วิธีการ 6 ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติ
ได้แก่ หนึ่งไม่ว่าร้าย คือไม่กล่าวให้ร้ายผู้อื่น สองไม่ทำร้าย คือไม่เบียดเบียน
ไม่ฆ่าผู้อื่น สามสำรวมในปาติโมกข์ คือการเคารพระเบียบ กติกา กฎหมายและขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของสังคม
สี่รู้จักประมาณ คือรู้จักพอดี พอกินพออยู่
หรือจะกล่าวแบบปัจจุบันว่าถือหลักเศรษฐกิจพอเพียงก็ได้ ห้าอยู่ในสถานที่ที่สงัด
คืออยู่ในสถานที่ที่สงบ มีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม หกฝึกหัดจิตใจให้สงบ
คือการฝึกหัดชำระจิต หมั่นทำสมาธิภาวนา
จะเห็นได้ว่าธรรมะที่พระพุทธองค์ตรัสสั่งสอนนี้ล้วนมีความหมาย
และมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต ไม่เพียงแต่ผู้อยู่ในเพศบรรพชิตที่บวชเรียนเท่านั้น
คฤหัสถ์ผู้ครองเรือน และฆราวาสอย่างพวกเราทุกคนก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี
ในโอกาสที่วันมาฆบูชาจะเวียนมาบรรจบในวันจันทร์ที่
13 กุมภาพันธ์ 2549 นี้ ขอทุกท่านได้ใช้วันนี้เป็นวันแห่งความรัก
ด้วยการตามรอยพระพุทธองค์ มอบความรัก ความเมตตาต่อตนเอง ครอบครัว คนรอบข้าง
และเพื่อนร่วมโลกทั้งหลาย โดยการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ไม่ว่าจะเป็นการพูดดี คิดดี ทำดี ไม่คิดร้ายทำลายผู้อื่นทั้งกาย วาจาและใจ
เพียงเท่านี้
สังคมทุกแห่งก็จะเกิดสงบสุข โลกเราก็จะบานสะพรั่งด้วยความรักสีขาวที่บริสุทธิ์ปลอดพิษภัย